วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐมนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย





ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้อภิวัฒน์การปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น มีชื่อรหัสว่า "รู้ธ" เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็น "ผู้ประศาสน์การ" คนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัยฯ นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ด้วย


เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 การอภิวัฒน์การเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎรที่นำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ครั้งนั้นคณะราษฎรได้ประกาศชัดเจนถึงหลัก 6 ประการ ของคณะราษฎรที่ได้แถลงต่อมวลราษฎร อันได้แก่
หลักประการที่ 1 จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
หลักประการที่ 2 จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
หลักประการที่ 3 จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
หลักประการที่ 4 จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
หลักประการที่ 5 จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพและอิสระไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น
หลักประการที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร



แน่นอนว่าคำประกาศของคณะราษฎรในครั้งนั้นมีแนวทางที่เป็นไปในแบบเสรีนิยมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยในสมัยนั้น เว้นแต่หลักประการที่ 3 ที่เป็นหลักประการที่พูดถึงแนวทางทางเศรษฐกิจ ซึ่งค่อนข้างเป็นรูปแบบสังคมนิยมที่รัฐจำต้องหางานรองรับให้ประชาชนทำ ต่างจากแนวทางเสรีนิยมที่ให้อิสระประชาชนในการหางานและรับผิดชอบตนเองโดยรัฐจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด


จึงเห็นได้ว่าหลัก 6 ประการของคณะราษฎร เป็นแนวคิดที่ได้มาจากการรวมกันของแนวทางการปกครองของทั้ง สังคมนิยม และ เสรีนิยม แนวคิดนี้อาจเป็นแนวทางปกครองที่ดีและเหมาะสมกับสังคมไทย แต่เพราะเหตุใดการวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้น กลับส่งผลให้สภาพสังคมไทยในปัจจุบันไม่เป็นไปตามนั้น แม้ว่าเราจะประกาศตัวว่าเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย แต่ทำไมผู้คนจึงยังไม่เข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนเองอยู่ เพราะเหตุใดจึงยังมีกลุ่มอิทธิพลต่างๆอยู่แม้ว่าการที่บุคคลมีสิทธิเท่าเทียมกันเป็นแนวทางของเสรีนิยม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมีความผิดพลาดที่ตรงไหน เราจะลองมาวิพากษ์หลัก 6 ประการกันในแต่ละข้อ


เริ่มจากหลักประการแรก จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง หลักประการนี้พูดถึงเอกราชในด้านต่างๆ ซึ่งรัฐทุกรัฐจำต้องรักษาเอกราชของตนเพื่อไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐอื่น
หลักประการที่ 2 จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก เช่นเดียวกันกับหลักประการแรกที่รัฐต้องรักษาอธิปไตยของตนไม่ว่าจะเป็นแนวทางเสรีนิยมหรือสังคมนิยม
หลักประการที่ 3 จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก หลักประการข้อนี้เป็นที่สนใจกันมากในวงการต่างๆที่ศึกษาเรื่องนี้ เพราะแนวทางโครงการเศรษฐกิจลักษณะนี้ เป็นแนวทางของสังคมนิยมที่ปฎิเสธแนวทางของเสรีนิยมโดยสิ้นเชิง อาจเป็นไปได้ว่าในเวลานั้น คณะราษฎร มีความเห็นว่าแนวทางโครงสร้างเศรษฐกิจนี้มีความเหมาะสมกับสังคมไทยในยุคนั้นเป็นได้ อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว การเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจแบบฉับพลันจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่ยังไม่คุ้นกับแนวทางเสรีนิยมก็เป็นได้
หลักประการที่ 4 จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน หลักประการนี้นับว่าเป็นหัวใจหลักของแนวทางเสรีนิยมที่ต้องการให้ผู้คนในสังคมมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน
หลักประการที่ 5 จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพและอิสระไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น แน่นอนว่าหากผู้คนมีเสรีที่ไม่มีขอบเขตเลย ย่อมต้องเกิดปัญหาต่อการปกครอง จึงต้องมีการจำกัดขอบเขตของเสรีภาพให้แน่ชัดก่อน
หลักประการที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร เป็นหลักประการที่สามารถสงผลได้ในหลายทาง เช่น ให้ผู้คนเข้าใจและเรียนรู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนและส่งเสริมการศึกษาให้ทุกระดับได้รับกันอย่างเท่าเทียม


ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในหลักประการต่างๆนั้นมีการวางรากฐานที่ชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น สำหรับตัวผมเห็นว่าเป็นเพราะเราขาดการเตรียมตัวในการที่จะให้ผู้คนพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ แม้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง ดุสิตธานี เป็นที่ทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยเป็นการสร้างเมืองจำลองโดยให้ผู้คนในเมืองนั้นได้ประกอบอาชีพต่างๆโดยให้ใช้ระบบการปกครองในเมืองจำลองนั้นเป็นแบบประชาธิปไตย แต่การทดลองนั้นยังไม่ได้ถูกนำไปทดลองการปกครองทั่วประเทศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน เป็นที่รู้กันว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆไม่สามารถทนกับการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันได้ ระบบการปกครองก็คงเช่นเดียวเมื่อไม่สามารถปรับตัวแบบฉับพลันได้ย่อมเกิดการรวนและเป็นระบบที่ผิดพลาดในที่สุด แม้ว่านี้จะเป็นความผิดพลาดจากอดีตแต่เราคงปฎิเสธไม่ได้ที่ควรจะเป็นหน้าที่ของเราในการแก้ไขความผิดพลาดนี้เพื่อคนในอนาคต

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับความเหมาะสมในสังคมไทย

สวัสดีครับสำหรับหัวข้อที่ได้รับมาจากการศึกษาในครั้งนี้เป็นเรื่องความยุติธรรม เป็นคำถามที่ตอบได้ยากมากว่าความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ และหากมีจริงแล้วความยุติธรรมในทุกๆที่จะมีความเหมือนกันหรือไม่ แต่หากความยุติธรรมไม่มีอยู่จริงแล้ว สิ่งใดกันที่จะใช้ตัดสินความถูกผิดในการกระทำได้ ปัญหาในข้อนี้หากเป็นทางศาสนามักจะมีคำสอนที่บ่งบอกว่าความยุติธรรมมีจริง เช่นเรื่องกฎแห่งกรรม การพิพากษาของพระเจ้า หรือเรื่องชาติภพ ล้วนมีส่วนในการควบคุมการกระทำของผู้คนในสังคมให้อยู่ในของเขตที่เหมาะสมจนกลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมของพื้นที่นั้นๆ ซึ่งส่วนมากมักพัฒนามาเป็นกฎหมายที่มีความชัดเจนมากขึ้น แต่หากเป็นแนวคิดทางนักคิดหรือนักปรัชญาแล้ว คำตอบที่ได้จะมีความต่างกันไปในแต่ละบุคคลหรือบางสำนัก บ้างก็ว่าความยุติธรรมมีจริงบ้างก็ว่าไม่มีจริง เป็นเพียงความต้องการการเสียเปรียบของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น และด้วยความแตกต่างทางความคิดที่ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ ทำให้ผมมีความคิดว่าเราน่าจะให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมมากกว่าที่จะหาว่าความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าความยุติธรรมนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ เราคงไม่อาจปฎิเสธความจริงได้ว่าผู้คนล้วนต้องการความยุติธรรม และผมได้ให้ความสนใจกระบวนการยุติธรรมหนึ่ง ที่น่าคิดว่ากระบวนการยุติธรรมนี้มีความเหมาะสมกับสังคมไทยเราหรือไม่ นั้นคือ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์




ก่อนที่เราจะกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ผมจะขอกล่าวถึงลักษณะของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันโดยย่อ
1. อาชญากรรมเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายและต่อรัฐ
2. การล่วงละเมิดนั้นก่อให้เกิดความผิด
3. ความยุติธรรมต้องการให้รัฐเข้าไปกำหนด
4. ศูนย์กลางความสนใจอยู่ที่ผู้กระทำผิดจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสมกับการกระทำผิด
ลักษณะดังนี้ทำให้เราเห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีลักษณะที่ค่อนข้างแน่นอนและตายตัว โดยให้ความสำคัญอยู่ที่ผู้กระทำผิด
และนี้เป็นลักษณะโดยรวมของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ นั้นคือ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ คือกระบวนการที่จะดึงผู้ที่มีส่วนได้เสียในการกระทำความผิดใดความผิดหนึ่งให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อร่วมกันระบุชี้และจัดการกับความเสียหาย ความต้องการ และภาระหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถเยียวยาฟื้นฟู และทำให้ความเสียหายกลับคืนดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เป้าหมายของ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
1.มอบการตัดสินใจหลักให้เป็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมมากที่สุด
2.ทำกระบวนการยุติธรรมให้เป็นกระบวนการเยียวยามากขึ้นและในอุดมคติแล้วต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติและกระบวนความคิดของกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้น
3.ลดความเป็นไปได้ในการเกิดการกระทำความผิดในอนาคต



หากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นนั้นคือ การนำผู้เสียหาย ผู้กระทำผิด และสมาชิกในชุมชนมาร่วมประชุมกันเพื่อตัดสินโทษและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยให้ผู้เสียหายมีสิทธ์ในการออกเสียงมากที่สุด หากมองเพียงจุดนี้อาจเห็นได้ว่า เป็นการใช้ศาลเตี้ยและเป็นหลักที่ไม่มีกฎที่แน่นอน แต่จุดประสงค์หลักที่แท้จริงของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์คือ การให้อภัยกัน แน่นอนว่าการให้อภัยกันอาจเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้น แต่หลักการนี้เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กันของผู้คนในชุมชน จึงทำให้การไม่ให้อภัยกันเป็นการทำลายความสัมพันธ์ของชุมชน ท่านคงนึกออกว่าระหว่างการให้อภัยบุคคลที่ท่านรู้จักกับบุคคลที่ท่านไม่รู้จัก ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นอย่างใดยากกว่ากัน ฉะนั้นแม้ว่าหลักกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จะไม่มีความแน่นอนเช่นกระบวนการทางอาญา แต่ด้วยความยืดหยุ่นนี้ทำให้การให้อภัยและงดเว้นการลงโทษผู้กระผิดด้วยความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า กระบวนการนี้ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประยุกใช้กับผู้ติดยาเสพย์ติด ที่เห็นว่าผู้ติดยาเสพย์ติดเป็นเพียงผู้ป่วยไม่ใช้ผู้กระทำผิด และขั้นต่อไปนั้นคือการเยียวยาเพื่อส่งบุคคลนั้นกลับเข้าสังคมโดยให้ความรู้และความสามารถในการชักจูงผู้ที่ติดยาเสพย์ติดด้วยกันให้เข้าสู่การบำบัด ซึ่งในสังคมไทยเรานั้นเดิมทีเป็นสังคมแบบพี่น้อง โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน นั้นคือผู้คนมีความใกล้ชิดกันจนบางครั้งทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องที่พร้อมจะมีความเอื้อเฟื้อต่อกัน แม้ว่าในปัจจุบันนี้สังคมไทยได้เปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตกไม่น้อย คือการสนใจที่จะเอาตัวรอดมากกว่าคนรอบข้าง แต่โดยพื้นฐานของสังคมเรายังคงมีความสัมพันธ์กันแบบพี่น้องอยู่ กรณีที่เห็นได้ชัดคือ การที่ผู้เป็นแม่ขโมยของในห้างสรรพสินค้าเพื่อให้ลูกตนไม่ต้องอดตาย แน่นอนว่าหากว่ากันตามกฎหมายที่มีความเด็ดขาดแล้วผู้เป็นแม่จะต้องรับโทษที่ตนเป็นผู้ก่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในสังคมของเรายังมีความเอื้อเฟื้อและสงสารอยู่ ทำให้เจ้าของห้างสรรพสินค้าไม่เอาเรื่องแต่ประการใดนอกจากนั้นยังมีผู้คนบริจาคช่วยเหลือแม่ลูกคู่นี้อีก ด้วยหลักของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์นี้จึงทำให้ผมเห็นด้วยกับวิธีที่หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการลงโทษที่ต้องเสียงบประมาณไปโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นกับสังคม แต่เน้นการเยี่ยวยาผู้เสียหายและเน้นการบำเพ็ญประโยชน์ของผู้กระทำผิดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเพื่อส่งการยกระดับจิตใจผู้คนในรู้จักการให้อภัยกันและส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของผู้คนในสังคม