วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐมนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย





ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้อภิวัฒน์การปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น มีชื่อรหัสว่า "รู้ธ" เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็น "ผู้ประศาสน์การ" คนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัยฯ นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ด้วย


เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 การอภิวัฒน์การเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎรที่นำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ครั้งนั้นคณะราษฎรได้ประกาศชัดเจนถึงหลัก 6 ประการ ของคณะราษฎรที่ได้แถลงต่อมวลราษฎร อันได้แก่
หลักประการที่ 1 จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
หลักประการที่ 2 จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
หลักประการที่ 3 จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
หลักประการที่ 4 จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
หลักประการที่ 5 จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพและอิสระไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น
หลักประการที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร



แน่นอนว่าคำประกาศของคณะราษฎรในครั้งนั้นมีแนวทางที่เป็นไปในแบบเสรีนิยมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยในสมัยนั้น เว้นแต่หลักประการที่ 3 ที่เป็นหลักประการที่พูดถึงแนวทางทางเศรษฐกิจ ซึ่งค่อนข้างเป็นรูปแบบสังคมนิยมที่รัฐจำต้องหางานรองรับให้ประชาชนทำ ต่างจากแนวทางเสรีนิยมที่ให้อิสระประชาชนในการหางานและรับผิดชอบตนเองโดยรัฐจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด


จึงเห็นได้ว่าหลัก 6 ประการของคณะราษฎร เป็นแนวคิดที่ได้มาจากการรวมกันของแนวทางการปกครองของทั้ง สังคมนิยม และ เสรีนิยม แนวคิดนี้อาจเป็นแนวทางปกครองที่ดีและเหมาะสมกับสังคมไทย แต่เพราะเหตุใดการวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้น กลับส่งผลให้สภาพสังคมไทยในปัจจุบันไม่เป็นไปตามนั้น แม้ว่าเราจะประกาศตัวว่าเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย แต่ทำไมผู้คนจึงยังไม่เข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนเองอยู่ เพราะเหตุใดจึงยังมีกลุ่มอิทธิพลต่างๆอยู่แม้ว่าการที่บุคคลมีสิทธิเท่าเทียมกันเป็นแนวทางของเสรีนิยม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมีความผิดพลาดที่ตรงไหน เราจะลองมาวิพากษ์หลัก 6 ประการกันในแต่ละข้อ


เริ่มจากหลักประการแรก จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง หลักประการนี้พูดถึงเอกราชในด้านต่างๆ ซึ่งรัฐทุกรัฐจำต้องรักษาเอกราชของตนเพื่อไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐอื่น
หลักประการที่ 2 จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก เช่นเดียวกันกับหลักประการแรกที่รัฐต้องรักษาอธิปไตยของตนไม่ว่าจะเป็นแนวทางเสรีนิยมหรือสังคมนิยม
หลักประการที่ 3 จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก หลักประการข้อนี้เป็นที่สนใจกันมากในวงการต่างๆที่ศึกษาเรื่องนี้ เพราะแนวทางโครงการเศรษฐกิจลักษณะนี้ เป็นแนวทางของสังคมนิยมที่ปฎิเสธแนวทางของเสรีนิยมโดยสิ้นเชิง อาจเป็นไปได้ว่าในเวลานั้น คณะราษฎร มีความเห็นว่าแนวทางโครงสร้างเศรษฐกิจนี้มีความเหมาะสมกับสังคมไทยในยุคนั้นเป็นได้ อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว การเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจแบบฉับพลันจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่ยังไม่คุ้นกับแนวทางเสรีนิยมก็เป็นได้
หลักประการที่ 4 จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน หลักประการนี้นับว่าเป็นหัวใจหลักของแนวทางเสรีนิยมที่ต้องการให้ผู้คนในสังคมมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน
หลักประการที่ 5 จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพและอิสระไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น แน่นอนว่าหากผู้คนมีเสรีที่ไม่มีขอบเขตเลย ย่อมต้องเกิดปัญหาต่อการปกครอง จึงต้องมีการจำกัดขอบเขตของเสรีภาพให้แน่ชัดก่อน
หลักประการที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร เป็นหลักประการที่สามารถสงผลได้ในหลายทาง เช่น ให้ผู้คนเข้าใจและเรียนรู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนและส่งเสริมการศึกษาให้ทุกระดับได้รับกันอย่างเท่าเทียม


ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในหลักประการต่างๆนั้นมีการวางรากฐานที่ชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น สำหรับตัวผมเห็นว่าเป็นเพราะเราขาดการเตรียมตัวในการที่จะให้ผู้คนพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ แม้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง ดุสิตธานี เป็นที่ทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยเป็นการสร้างเมืองจำลองโดยให้ผู้คนในเมืองนั้นได้ประกอบอาชีพต่างๆโดยให้ใช้ระบบการปกครองในเมืองจำลองนั้นเป็นแบบประชาธิปไตย แต่การทดลองนั้นยังไม่ได้ถูกนำไปทดลองการปกครองทั่วประเทศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน เป็นที่รู้กันว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆไม่สามารถทนกับการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันได้ ระบบการปกครองก็คงเช่นเดียวเมื่อไม่สามารถปรับตัวแบบฉับพลันได้ย่อมเกิดการรวนและเป็นระบบที่ผิดพลาดในที่สุด แม้ว่านี้จะเป็นความผิดพลาดจากอดีตแต่เราคงปฎิเสธไม่ได้ที่ควรจะเป็นหน้าที่ของเราในการแก้ไขความผิดพลาดนี้เพื่อคนในอนาคต

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับความเหมาะสมในสังคมไทย

สวัสดีครับสำหรับหัวข้อที่ได้รับมาจากการศึกษาในครั้งนี้เป็นเรื่องความยุติธรรม เป็นคำถามที่ตอบได้ยากมากว่าความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ และหากมีจริงแล้วความยุติธรรมในทุกๆที่จะมีความเหมือนกันหรือไม่ แต่หากความยุติธรรมไม่มีอยู่จริงแล้ว สิ่งใดกันที่จะใช้ตัดสินความถูกผิดในการกระทำได้ ปัญหาในข้อนี้หากเป็นทางศาสนามักจะมีคำสอนที่บ่งบอกว่าความยุติธรรมมีจริง เช่นเรื่องกฎแห่งกรรม การพิพากษาของพระเจ้า หรือเรื่องชาติภพ ล้วนมีส่วนในการควบคุมการกระทำของผู้คนในสังคมให้อยู่ในของเขตที่เหมาะสมจนกลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมของพื้นที่นั้นๆ ซึ่งส่วนมากมักพัฒนามาเป็นกฎหมายที่มีความชัดเจนมากขึ้น แต่หากเป็นแนวคิดทางนักคิดหรือนักปรัชญาแล้ว คำตอบที่ได้จะมีความต่างกันไปในแต่ละบุคคลหรือบางสำนัก บ้างก็ว่าความยุติธรรมมีจริงบ้างก็ว่าไม่มีจริง เป็นเพียงความต้องการการเสียเปรียบของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น และด้วยความแตกต่างทางความคิดที่ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ ทำให้ผมมีความคิดว่าเราน่าจะให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมมากกว่าที่จะหาว่าความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าความยุติธรรมนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ เราคงไม่อาจปฎิเสธความจริงได้ว่าผู้คนล้วนต้องการความยุติธรรม และผมได้ให้ความสนใจกระบวนการยุติธรรมหนึ่ง ที่น่าคิดว่ากระบวนการยุติธรรมนี้มีความเหมาะสมกับสังคมไทยเราหรือไม่ นั้นคือ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์




ก่อนที่เราจะกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ผมจะขอกล่าวถึงลักษณะของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันโดยย่อ
1. อาชญากรรมเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายและต่อรัฐ
2. การล่วงละเมิดนั้นก่อให้เกิดความผิด
3. ความยุติธรรมต้องการให้รัฐเข้าไปกำหนด
4. ศูนย์กลางความสนใจอยู่ที่ผู้กระทำผิดจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสมกับการกระทำผิด
ลักษณะดังนี้ทำให้เราเห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีลักษณะที่ค่อนข้างแน่นอนและตายตัว โดยให้ความสำคัญอยู่ที่ผู้กระทำผิด
และนี้เป็นลักษณะโดยรวมของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ นั้นคือ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ คือกระบวนการที่จะดึงผู้ที่มีส่วนได้เสียในการกระทำความผิดใดความผิดหนึ่งให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อร่วมกันระบุชี้และจัดการกับความเสียหาย ความต้องการ และภาระหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถเยียวยาฟื้นฟู และทำให้ความเสียหายกลับคืนดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เป้าหมายของ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
1.มอบการตัดสินใจหลักให้เป็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมมากที่สุด
2.ทำกระบวนการยุติธรรมให้เป็นกระบวนการเยียวยามากขึ้นและในอุดมคติแล้วต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติและกระบวนความคิดของกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้น
3.ลดความเป็นไปได้ในการเกิดการกระทำความผิดในอนาคต



หากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นนั้นคือ การนำผู้เสียหาย ผู้กระทำผิด และสมาชิกในชุมชนมาร่วมประชุมกันเพื่อตัดสินโทษและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยให้ผู้เสียหายมีสิทธ์ในการออกเสียงมากที่สุด หากมองเพียงจุดนี้อาจเห็นได้ว่า เป็นการใช้ศาลเตี้ยและเป็นหลักที่ไม่มีกฎที่แน่นอน แต่จุดประสงค์หลักที่แท้จริงของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์คือ การให้อภัยกัน แน่นอนว่าการให้อภัยกันอาจเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้น แต่หลักการนี้เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กันของผู้คนในชุมชน จึงทำให้การไม่ให้อภัยกันเป็นการทำลายความสัมพันธ์ของชุมชน ท่านคงนึกออกว่าระหว่างการให้อภัยบุคคลที่ท่านรู้จักกับบุคคลที่ท่านไม่รู้จัก ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นอย่างใดยากกว่ากัน ฉะนั้นแม้ว่าหลักกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จะไม่มีความแน่นอนเช่นกระบวนการทางอาญา แต่ด้วยความยืดหยุ่นนี้ทำให้การให้อภัยและงดเว้นการลงโทษผู้กระผิดด้วยความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า กระบวนการนี้ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประยุกใช้กับผู้ติดยาเสพย์ติด ที่เห็นว่าผู้ติดยาเสพย์ติดเป็นเพียงผู้ป่วยไม่ใช้ผู้กระทำผิด และขั้นต่อไปนั้นคือการเยียวยาเพื่อส่งบุคคลนั้นกลับเข้าสังคมโดยให้ความรู้และความสามารถในการชักจูงผู้ที่ติดยาเสพย์ติดด้วยกันให้เข้าสู่การบำบัด ซึ่งในสังคมไทยเรานั้นเดิมทีเป็นสังคมแบบพี่น้อง โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน นั้นคือผู้คนมีความใกล้ชิดกันจนบางครั้งทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องที่พร้อมจะมีความเอื้อเฟื้อต่อกัน แม้ว่าในปัจจุบันนี้สังคมไทยได้เปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตกไม่น้อย คือการสนใจที่จะเอาตัวรอดมากกว่าคนรอบข้าง แต่โดยพื้นฐานของสังคมเรายังคงมีความสัมพันธ์กันแบบพี่น้องอยู่ กรณีที่เห็นได้ชัดคือ การที่ผู้เป็นแม่ขโมยของในห้างสรรพสินค้าเพื่อให้ลูกตนไม่ต้องอดตาย แน่นอนว่าหากว่ากันตามกฎหมายที่มีความเด็ดขาดแล้วผู้เป็นแม่จะต้องรับโทษที่ตนเป็นผู้ก่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในสังคมของเรายังมีความเอื้อเฟื้อและสงสารอยู่ ทำให้เจ้าของห้างสรรพสินค้าไม่เอาเรื่องแต่ประการใดนอกจากนั้นยังมีผู้คนบริจาคช่วยเหลือแม่ลูกคู่นี้อีก ด้วยหลักของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์นี้จึงทำให้ผมเห็นด้วยกับวิธีที่หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการลงโทษที่ต้องเสียงบประมาณไปโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นกับสังคม แต่เน้นการเยี่ยวยาผู้เสียหายและเน้นการบำเพ็ญประโยชน์ของผู้กระทำผิดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเพื่อส่งการยกระดับจิตใจผู้คนในรู้จักการให้อภัยกันและส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของผู้คนในสังคม

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รัฐในอุดมคติกับสังคมไทยและความรับผิดชอบ

สวัสดีครับก่อนอื่นต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ส่งมาให้ เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงในการเขียนบทความครั้งต่อๆไป อาจจะมีบางความเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับบางเรื่องหากทำให้ท่านผู้อ่านผิดใจแต่ประการใดคงต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ซึ่งบางหัวข้อในบทความเช่นในบทความนี้ เป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับการศึกษาในวิชาที่กำลังศึกษาอยู่ จึงรบกวนข้อคำติชมเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและขอขอบคุณผู้ติดตามทุกๆท่านครับ

ในเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นเป็นเรื่องที่มีผู้ความสนใจมาทุกยุคทุกสมัย หรืออาจมีมาตั้งแต่เริ่มมีการปกครองก็เป็นได้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วมักเกิดจากความไม่พอใจกับสังคมหรือรัฐที่เป็นอยู่ ทำให้มีผู้เสนอแนวคิดต่างๆเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติอยู่หลายทัศนะ และในบทความนี้เราจะมาวิเคราะห์กับว่าสำหรับสังคมไทยแล้ว ควรที่จะมีรัฐในอุดมคติที่ออกมาในลักษณะใด แต่ก่อนอื่นจะต้องขออธิบายถึงลัทธิทางการเมืองที่มีอิทธิพลและความแตกต่างกันอย่างมาก 2 ลัทธิคือ ลัทธิสังคมนิยมและลัทธิเสรีนิยม

เริ่มจากลัทธิสังคมนิยม เป็นลัทธิทางการเมืองการปกครองที่ให้ความสำคัญต่อรัฐมากกว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ส่วนใหญ่แนวคิดนี้เกิดจากความไม่พอใจในความไม่เท่าเทียมกันของสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น และเมื่อชนชั้นที่ด้อยกว่าถูกชนชั้นปกครองหรือชนชั้นที่สูงกว่ากดขี่จนไม่สามารถทนได้ จึงเกิดการต่อต้านและเรียกร้องหาสังคมที่เท่าเทียมกัน และการที่จะทลายกำแพงทางชนชั้นทำให้เกิดวิธีทางสังคมและการเมืองเพื่อที่จะนำไปสู่รัฐในอุดมคติทางสังคมนิยม เช่นการใช้ศิลปะหรือดนตรีในการกระตุ้นในผู้คนเรียกร้องหาความยุติธรรมที่ตนสูญเสียไป จนทำให้ลัทธิสังคมนิยมส่วนใหญ่ยอมรับในการใช้กำลังอย่างรุนแรงเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมนิยมได้ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดลัทธิสังคมนิยม ได้แก่ คาร์ล มาร์กซ์ ผู้ให้กำเนิดลัทธิมาร์กซิสต์
ส่วนอีกลัทธิที่มีอิทธิพลและเป็นที่นิยมในหลายประเทศคือ ลัทธิเสรีนิยมเป็นลัทธทางการเมืองที่มีหลักการตรงกันข้ามกับลัทธิสังคมนิยมอย่างเห็นได้ชัด คือรักษาและเพิ่มพูนเสรีภาพของตัวบุคคลให้มากที่สุด โดยเสรีภาพนั้นต้องมีรัฐเป็นตัวรองรับและรัฐบาลที่ดีที่สุดของลัทธิเสรีนิยมคือรัฐบาลที่มีบทบาทในการปกครองน้อยที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าสภาพเศรษฐกิจย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ จนบางครั้งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นได้

แน่นอนว่าทั้งสองลัทธิย่อมมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน สำหรับระบอบการเมืองในสังคมไทยนั้นมีลักษณะเป็นแบบเสรีประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ได้ปรากฏต่อสังคมก็คือ เราอาจไม่ได้เป็นเสรีประชาธิปไตยอย่างที่ได้เราเชื่อกัน เพราะการที่เราจะเป็นเสรีประชาธิปไตยนั้น จำต้องมีรากฐานอยู่ที่ผู้คนในสังคมว่าเข้าใจถึงสิทธิและเสรีภาพของตนหรือไม่ เป็นต้นว่า การที่เราถูกตำรวจจราจรเรียกตรวจและถูกแจ้งข้อหาต่างๆ ผู้คนโดยส่วนมากมักจะจ่ายสินบนเพื่อให้เรื่องจบและตนจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทั้งที่ไม่เข้าใจว่าตนผิดในเรื่องใด ซึ่งนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราได้ละเลยสิทธิและเสรีภาพของตน จนในปัจจุบันปัญหานี้เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ และในหัวข้อนี้ผมเชื่อว่าทุกคนคงมีความคิดในเรื่องรัฐในอุดมคติของตนแล้ว บางท่านอาจเห็นด้วยกับแนวคิดของสังคมนิยมที่คำนึงถึงความเท่าเทียมของผู้คนในสังคม บางท่านอาจเห็นด้วยกับแนวคิดของเสรีนิยมที่คำนึงถึงเสรีภาพของผู้คนในสังคม และบางท่านอาจเห็นว่าในเมื่อทั้งสองทัศนะมีทั้งข้อดีข้อเสียที่ควรจะนำมาปรับใช้จนได้แนวคิดทางการเมืองใหม่ที่เหมาะสมกับสังคมไทย แต่ในทัศนะส่วนตัวของผมนั้นไม่เห็นว่าจะมีทัศนะใดที่สามารถสร้างรัฐในอุดมคติได้ เพราะในเมื่อมนุษย์ไม่ใช้สิ่งที่สมบูรณ์แบบสิ่งที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นคงหาความสมบูรณ์แบบได้ยาก ไม่ว่าแนวการปกครองใดนั้นย่อมไม่สามารถตอบสนองความต้องการของย่อมไม่อาจตอบสนองความต้องการของผู้คนได้ถึงที่สุด อย่างมากคงตอบสนองความต้องการของผู้คนได้เพียงกลุ่มเดียวหรือเพียงช่วงเวลาเดียวเท่านั้น เพราะความต้องการของผู้คนมีความหลากหลายและไม่สามารถหาที่สุดได้ ทำให้ผมอยากเสนอให้เราเริ่มจากการเข้าใจในหน้าที่ของตนเองก่อน ซึ่งแนวคิดนี้มีนักปรัชญาท่านหนึ่งคือ อิมมานูเอล คานท์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน เป็นผู้เสนอแนวคิดที่ว่ามนุษย์ต้องทำตามหน้าที่โดยให้คำนึงถึงเหตุผลและไม่นำอารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่ก็มองได้ว่าเป็นทัศนะที่สุดโต่งเกินไป และสิ่งที่ผมต้องการจะบอกก็คือ ความบกพร่องของสังคมเราน่าจะเกิดจากความบกพร่องในหน้าที่ของผู้คนในสังคม ในความเป็นจริงบุคคลหนึ่งไม่ได้มีเพียงหน้าที่เดียว และความบกพร่องในหน้าที่นี้ไม่ได้มีเพียงเฉพาะในระดับผู้บริหาร แต่เป็นความบกพร่องที่มีตั้งแต่สังคมที่เล็กที่สุดคือครอบครัว เช่น ชายผู้หนึ่งที่มีครอบครัวแล้ว นัยหนึ่งเขาต้องทำหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว แต่อีกนัยหนึ่งเขาคือผู้นำของครอบครัวเพราะฉะนั้นระหว่างการทำงานหาเงินและการดูและครอบครัวย่อมมีความสำคัญเท่าๆกัน นี้เป็นตัวอย่างในความบกพร่องระดับครอบครัว และยิ่งการที่เราละเลยไม่จัดการในสิ่งที่เห็นว่าผิดจนปล่อยปัญหาต่างๆพอกพูนขึ้นจนเป็นความบกพร่องทางหน้าที่ต่อสังคมแล้ว คงไม่มีความจำเป็นที่เราจะคิดถึงเรื่องรัฐในอุดมคติจนกว่าเราจะเข้าใจในหน้าที่และความรับผิดชอบของเราต่อสังคมเสียก่อน

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แนวคิดการเมืองและการปกครองของเหลาจื้อกับการเมืองและสังคมไทยในปัจุบัน


สวัสดีครับนี้เป็นบทความที่ลงในบล็อกครั้งแรกของผม เป็นบทความเกี่ยวกับการเมืองในทัศนะของนักปรัชญาโดยจะมีการเปรียบเทียบกับสภาพสังคมและการเมืองในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื้อหาและระบบการวิเคราะต่างๆอาจยังไม่สมบูรณ์ จึงของท่านทั้งหลายแสดงคำติชมและคำแนะนำเพื่อจะได้พัฒนาในครั้งต่อๆไป ขอกันช่วยวิจารและแสดงทัศนะด้วยนะครับ

โดยผมจะขอเริ่มจากทัศนะปรัชญาทางสังคมและการเมืองของนักปรัชญาท่านหนึ่งที่มีอิทธิพลกับแนวการดำเนินชีวิตของประชากรและอารยธรรมต่างๆในประเทศจีน นั้นก็คือท่านเหลาจื้อผู้ก่อตั้งแนวทางปรัชญาเต๋านั้นเองครับ ปรัชญาสายต่างๆของท่านนั้นมีที่มาอยู่ที่หลักอภิปรัชญาที่มีลักษณะเป็นสายธรรมชาตินิยมของท่าน ซึ่งไม่มักจะชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ควรที่จะอยู่กับธรรมชาติมากกว่าที่จะให้ความสำคัญในด้านวัตถุ ทั้งนี้ผมจะขอพูดถึงหลักอภิปรัชญาของท่านมากนัก แต่จะขอเน้นในเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและระบบการปกครองในอุดมคติของท่านเหลาจื้อโดยตรง

รัฐในอุดมคติของท่านเหล่าจื้อควรที่จะปกครองประชาชนโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับประชาชนให้มากนัก ควรปล่อยให้พลเมื่องอยู่อย่างมีเสรีภาพ ท่านได้แบ่งรัฐบาลออกเป็น 3 ประเภท
ประเภทแรกคือรัฐบาลในอุดมคติของท่านเหลาจื้อ คือ รัฐบาลที่ปกครองพลเมืองโดยที่พลเมืองไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง ให้พลเมืองใช้ชีวิตแบบเสรีมีอิสรภาพ
ประเภทที่สองคือรัฐบาลที่ปกครองพลเมืองโดยสร้างความดีให้พลเมืองเห็น
ประเภทสุดท้ายคือรัฐบาลที่ใช้อำนาจกดขี่พลเมือง ทำให้พลเมืองขาดเสรีภาพ ท่านว่ารัฐบาลลักษณะนี้แย่ที่สุด แม้ว่าจะเป็นการทำสิ่งที่ถูกต้องก็ตาม

จะเห็นได้ว่าทัศนะของท่านคล้ายกับทัศนะของนักปรัชญาฝ่ายเสรีนิยมทางตะวันตก หากแต่จะต่างกันตรงที่ทัศนะของท่านมีหลักอยู่ที่ปรัชญาเต๋าที่เน้นให้คนเข้าถึงธรรมชาติ จึงมีลักษณะเป็นเสรีนิยมกับธรรมชาตินิยมรวมกัน ทำให้ดูมีลักษณะเป็นเสรีนิยมสายสุดโต่ง จากทัศนะเรื่องรัฐในอุดมคติของท่านเหลาจื้อทำให้เห็นว่า ท่านไม่ต้องการให้มนุษย์ถูกปกครองมากนัก เนื่องจากโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้วมักไม่ชอบทำตามกฎที่ถูกตั้งขึ้นมา ทั้งยังชอบทำอะไรที่ฝืนกับสิ่งที่เป็นอยู่ เราอาจจะดูจากแนวทางการใช้ชีวิตหรือความต้องการของสังคมก็เป็นได้นะครับ เช่น ค่านิยมของการเลือกของ ของที่ผู้คนต้องการมากๆมักขาดตลาด หรือกลายเป็นของหายาก ท่านอาจเห็นได้ว่าสมัยก่อนนั้นทุเรียนก้านยาวเป็นทุเรียนไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก จนทำให้หลายๆสวนเลิกปลูกทุเรียนก้านยาวเพราะตลาดต้องการทุเรียนหมอนทองมากกว่า แต่ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าทุเรียนก้านยาวเป็นที่ต้องการและมีราคาแพงอย่างมาก ตรงนี้อาจทำให้ท่านเหลาจื้อส่งเสริมให้ผู้คนอยู่กับธรรมชาติ เป็นหลักที่ตรงข้ามกับสังคมทุนนิยมอย่างสินเชิง หากแต่ในสังคมไทยในปัจจุบันคงเป็นไปได้ยากที่จะปรับเปลี่ยนค่านิยมที่จะต้องตามกระแสการบริโภคแบบทุนนิยมนี้ แม้ว่าทุกคนจะรู้ดีว่าหลักเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นหลักที่ดีขนาดไหน แต่ก็น้อยคนนักที่จะหันมาปฎิบัติอย่างจริงจัง คำถามก็คือท่านทั้งหลายคิดว่าสมควรหรือไม่ที่สังคมไทยเรานั้นควรจะเป็นสังคมที่เน้นด้านวัตถุนิยมและทุนนิยมต่อไป หรือได้เวลาแล้วที่เราควรจะหันกลับมาหาสิ่งที่เรามีอยู่และรู้จักพึ่งพาตนเอง

ในด้านของตัวผู้ปกครองนั้น ท่านเหลาจื้อให้ความเห็นว่าจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ทำตัวเป็นนายของประชาชน แต่ควรทำตัวให้เข้ากับประชาชนและรับใช้ประชาชน จะเห็นได้จากคำกล่าวของท่านเหล่าจื้อที่ว่า
“ทำไมทะเลจึงได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งน้ำ ก็เพราะตั้งอยู่ต่ำกว่าสายธาราทั้งหลาย จึงได้กลายเป็นเจ้าแห่งน้ำ นักปราชน์ปรารถนาจะปกครองประชาชน ก็พึงทำตนคอยรับใช้ด้วยความถ่อมตน”
ท่านเหลาจื้อได้กล่าวสรุปถึงคุณธรรมของผู้ปกครองอยู่ 3 อย่าง คือ ความเมตตา ความประหยัดและการไม่ล้ำหน้าประชาชน
ในด้านของตัวผู้ปกครองในสังคมไทยนั้น ท่านจะเห็นว่าพระมหากษัตริย์และพระราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ ได้ทรงปฎิบัติงานและทรงมีความเมตตากับประชาชนทุกหมู่เหล่า ทรงเข้าถึงทุกชนชั้น แต่กับนักการเมืองในสังคมไทยนั้นส่วนมากเราจะเห็นได้ว่าเวลาที่บุคคลเหล่านี้จะนอบน้อมมาฟังความต้องการของท่านก็มักจะเป็นในช่วงหาเสียงก่อนเลือกตั้ง คอยเข้าหาประชาชนอย่างจริงจังแต่เมื่อเสร็จจากการเลือกตั้งแล้วก็ยากที่ท่านทั้งหลายจะเข้าหาบุคคลเหล่านี้ ทั้งนี้อาจเป็นค่านิยมในสังคมไทยที่มีมานานจนยากที่จะแก้ไข ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเรามักยึดติดกับบุคคลที่มีอำนาจแม้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะใช้อำนาจไปทางที่ไม่ชอบก็ตาม ตราบใดที่สังคมไทยยังมีค่านิยมเช่นนี้อยู่เราคงไม่ได้เป็นประเทศที่มีเสรีประชาธิปไตยอย่างที่เราได้คอยประกาศบอกกับชาวโลกเป็นแน่ โดยส่วนตัวผมมีความเห็นว่าสภาพสังคมไทยในปัจจุบันนั้น ยังไม่พร้อมที่เป็นประชาธิปไตยเนื่องจากผู้คนยังขาดความเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ทั้งยังยึดติดและหลงในอำนาจที่ตนมีอยู่ทั้งที่บางท่านรู้อยู่แก่ใจว่าอำนาจเหล่านั้นไม่ได้อยู่กับตัวตลอดไปก็ตาม

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เปิดบล็อกครั้งแรกครับ เป็นบล็อกทางปรัชญา ช่วยกันติชมด้วยน่ะครับ