
ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) หรือ หลวงประดิษฐมนูธรรม เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้อภิวัฒน์การปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น มีชื่อรหัสว่า "รู้ธ" เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็น "ผู้ประศาสน์การ" คนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัยฯ นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ด้วย
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 การอภิวัฒน์การเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎรที่นำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ครั้งนั้นคณะราษฎรได้ประกาศชัดเจนถึงหลัก 6 ประการ ของคณะราษฎรที่ได้แถลงต่อมวลราษฎร อันได้แก่
หลักประการที่ 1 จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
หลักประการที่ 2 จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
หลักประการที่ 3 จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
หลักประการที่ 4 จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
หลักประการที่ 5 จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพและอิสระไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น
หลักประการที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
แน่นอนว่าคำประกาศของคณะราษฎรในครั้งนั้นมีแนวทางที่เป็นไปในแบบเสรีนิยมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยในสมัยนั้น เว้นแต่หลักประการที่ 3 ที่เป็นหลักประการที่พูดถึงแนวทางทางเศรษฐกิจ ซึ่งค่อนข้างเป็นรูปแบบสังคมนิยมที่รัฐจำต้องหางานรองรับให้ประชาชนทำ ต่างจากแนวทางเสรีนิยมที่ให้อิสระประชาชนในการหางานและรับผิดชอบตนเองโดยรัฐจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด
จึงเห็นได้ว่าหลัก 6 ประการของคณะราษฎร เป็นแนวคิดที่ได้มาจากการรวมกันของแนวทางการปกครองของทั้ง สังคมนิยม และ เสรีนิยม แนวคิดนี้อาจเป็นแนวทางปกครองที่ดีและเหมาะสมกับสังคมไทย แต่เพราะเหตุใดการวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้น กลับส่งผลให้สภาพสังคมไทยในปัจจุบันไม่เป็นไปตามนั้น แม้ว่าเราจะประกาศตัวว่าเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย แต่ทำไมผู้คนจึงยังไม่เข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนเองอยู่ เพราะเหตุใดจึงยังมีกลุ่มอิทธิพลต่างๆอยู่แม้ว่าการที่บุคคลมีสิทธิเท่าเทียมกันเป็นแนวทางของเสรีนิยม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมีความผิดพลาดที่ตรงไหน เราจะลองมาวิพากษ์หลัก 6 ประการกันในแต่ละข้อ
เริ่มจากหลักประการแรก จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง หลักประการนี้พูดถึงเอกราชในด้านต่างๆ ซึ่งรัฐทุกรัฐจำต้องรักษาเอกราชของตนเพื่อไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐอื่น
หลักประการที่ 2 จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก เช่นเดียวกันกับหลักประการแรกที่รัฐต้องรักษาอธิปไตยของตนไม่ว่าจะเป็นแนวทางเสรีนิยมหรือสังคมนิยม
หลักประการที่ 3 จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก หลักประการข้อนี้เป็นที่สนใจกันมากในวงการต่างๆที่ศึกษาเรื่องนี้ เพราะแนวทางโครงการเศรษฐกิจลักษณะนี้ เป็นแนวทางของสังคมนิยมที่ปฎิเสธแนวทางของเสรีนิยมโดยสิ้นเชิง อาจเป็นไปได้ว่าในเวลานั้น คณะราษฎร มีความเห็นว่าแนวทางโครงสร้างเศรษฐกิจนี้มีความเหมาะสมกับสังคมไทยในยุคนั้นเป็นได้ อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว การเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจแบบฉับพลันจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่ยังไม่คุ้นกับแนวทางเสรีนิยมก็เป็นได้
หลักประการที่ 4 จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน หลักประการนี้นับว่าเป็นหัวใจหลักของแนวทางเสรีนิยมที่ต้องการให้ผู้คนในสังคมมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน
หลักประการที่ 5 จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพและอิสระไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น แน่นอนว่าหากผู้คนมีเสรีที่ไม่มีขอบเขตเลย ย่อมต้องเกิดปัญหาต่อการปกครอง จึงต้องมีการจำกัดขอบเขตของเสรีภาพให้แน่ชัดก่อน
หลักประการที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร เป็นหลักประการที่สามารถสงผลได้ในหลายทาง เช่น ให้ผู้คนเข้าใจและเรียนรู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนและส่งเสริมการศึกษาให้ทุกระดับได้รับกันอย่างเท่าเทียม
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในหลักประการต่างๆนั้นมีการวางรากฐานที่ชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น สำหรับตัวผมเห็นว่าเป็นเพราะเราขาดการเตรียมตัวในการที่จะให้ผู้คนพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ แม้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง ดุสิตธานี เป็นที่ทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยเป็นการสร้างเมืองจำลองโดยให้ผู้คนในเมืองนั้นได้ประกอบอาชีพต่างๆโดยให้ใช้ระบบการปกครองในเมืองจำลองนั้นเป็นแบบประชาธิปไตย แต่การทดลองนั้นยังไม่ได้ถูกนำไปทดลองการปกครองทั่วประเทศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน เป็นที่รู้กันว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆไม่สามารถทนกับการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันได้ ระบบการปกครองก็คงเช่นเดียวเมื่อไม่สามารถปรับตัวแบบฉับพลันได้ย่อมเกิดการรวนและเป็นระบบที่ผิดพลาดในที่สุด แม้ว่านี้จะเป็นความผิดพลาดจากอดีตแต่เราคงปฎิเสธไม่ได้ที่ควรจะเป็นหน้าที่ของเราในการแก้ไขความผิดพลาดนี้เพื่อคนในอนาคต