สวัสดีครับสำหรับหัวข้อที่ได้รับมาจากการศึกษาในครั้งนี้เป็นเรื่องความยุติธรรม เป็นคำถามที่ตอบได้ยากมากว่าความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ และหากมีจริงแล้วความยุติธรรมในทุกๆที่จะมีความเหมือนกันหรือไม่ แต่หากความยุติธรรมไม่มีอยู่จริงแล้ว สิ่งใดกันที่จะใช้ตัดสินความถูกผิดในการกระทำได้ ปัญหาในข้อนี้หากเป็นทางศาสนามักจะมีคำสอนที่บ่งบอกว่าความยุติธรรมมีจริง เช่นเรื่องกฎแห่งกรรม การพิพากษาของพระเจ้า หรือเรื่องชาติภพ ล้วนมีส่วนในการควบคุมการกระทำของผู้คนในสังคมให้อยู่ในของเขตที่เหมาะสมจนกลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมของพื้นที่นั้นๆ ซึ่งส่วนมากมักพัฒนามาเป็นกฎหมายที่มีความชัดเจนมากขึ้น แต่หากเป็นแนวคิดทางนักคิดหรือนักปรัชญาแล้ว คำตอบที่ได้จะมีความต่างกันไปในแต่ละบุคคลหรือบางสำนัก บ้างก็ว่าความยุติธรรมมีจริงบ้างก็ว่าไม่มีจริง เป็นเพียงความต้องการการเสียเปรียบของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น และด้วยความแตกต่างทางความคิดที่ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ ทำให้ผมมีความคิดว่าเราน่าจะให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมมากกว่าที่จะหาว่าความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าความยุติธรรมนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ เราคงไม่อาจปฎิเสธความจริงได้ว่าผู้คนล้วนต้องการความยุติธรรม และผมได้ให้ความสนใจกระบวนการยุติธรรมหนึ่ง ที่น่าคิดว่ากระบวนการยุติธรรมนี้มีความเหมาะสมกับสังคมไทยเราหรือไม่ นั้นคือ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
ก่อนที่เราจะกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ผมจะขอกล่าวถึงลักษณะของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันโดยย่อ
1. อาชญากรรมเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายและต่อรัฐ
2. การล่วงละเมิดนั้นก่อให้เกิดความผิด
3. ความยุติธรรมต้องการให้รัฐเข้าไปกำหนด
4. ศูนย์กลางความสนใจอยู่ที่ผู้กระทำผิดจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสมกับการกระทำผิด
ลักษณะดังนี้ทำให้เราเห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีลักษณะที่ค่อนข้างแน่นอนและตายตัว โดยให้ความสำคัญอยู่ที่ผู้กระทำผิด
และนี้เป็นลักษณะโดยรวมของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ นั้นคือ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ คือกระบวนการที่จะดึงผู้ที่มีส่วนได้เสียในการกระทำความผิดใดความผิดหนึ่งให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อร่วมกันระบุชี้และจัดการกับความเสียหาย ความต้องการ และภาระหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถเยียวยาฟื้นฟู และทำให้ความเสียหายกลับคืนดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป้าหมายของ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
1.มอบการตัดสินใจหลักให้เป็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมมากที่สุด
2.ทำกระบวนการยุติธรรมให้เป็นกระบวนการเยียวยามากขึ้นและในอุดมคติแล้วต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติและกระบวนความคิดของกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้น
3.ลดความเป็นไปได้ในการเกิดการกระทำความผิดในอนาคต
หากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นนั้นคือ การนำผู้เสียหาย ผู้กระทำผิด และสมาชิกในชุมชนมาร่วมประชุมกันเพื่อตัดสินโทษและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยให้ผู้เสียหายมีสิทธ์ในการออกเสียงมากที่สุด หากมองเพียงจุดนี้อาจเห็นได้ว่า เป็นการใช้ศาลเตี้ยและเป็นหลักที่ไม่มีกฎที่แน่นอน แต่จุดประสงค์หลักที่แท้จริงของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์คือ การให้อภัยกัน แน่นอนว่าการให้อภัยกันอาจเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้น แต่หลักการนี้เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กันของผู้คนในชุมชน จึงทำให้การไม่ให้อภัยกันเป็นการทำลายความสัมพันธ์ของชุมชน ท่านคงนึกออกว่าระหว่างการให้อภัยบุคคลที่ท่านรู้จักกับบุคคลที่ท่านไม่รู้จัก ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นอย่างใดยากกว่ากัน ฉะนั้นแม้ว่าหลักกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จะไม่มีความแน่นอนเช่นกระบวนการทางอาญา แต่ด้วยความยืดหยุ่นนี้ทำให้การให้อภัยและงดเว้นการลงโทษผู้กระผิดด้วยความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า กระบวนการนี้ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประยุกใช้กับผู้ติดยาเสพย์ติด ที่เห็นว่าผู้ติดยาเสพย์ติดเป็นเพียงผู้ป่วยไม่ใช้ผู้กระทำผิด และขั้นต่อไปนั้นคือการเยียวยาเพื่อส่งบุคคลนั้นกลับเข้าสังคมโดยให้ความรู้และความสามารถในการชักจูงผู้ที่ติดยาเสพย์ติดด้วยกันให้เข้าสู่การบำบัด ซึ่งในสังคมไทยเรานั้นเดิมทีเป็นสังคมแบบพี่น้อง โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน นั้นคือผู้คนมีความใกล้ชิดกันจนบางครั้งทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องที่พร้อมจะมีความเอื้อเฟื้อต่อกัน แม้ว่าในปัจจุบันนี้สังคมไทยได้เปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตกไม่น้อย คือการสนใจที่จะเอาตัวรอดมากกว่าคนรอบข้าง แต่โดยพื้นฐานของสังคมเรายังคงมีความสัมพันธ์กันแบบพี่น้องอยู่ กรณีที่เห็นได้ชัดคือ การที่ผู้เป็นแม่ขโมยของในห้างสรรพสินค้าเพื่อให้ลูกตนไม่ต้องอดตาย แน่นอนว่าหากว่ากันตามกฎหมายที่มีความเด็ดขาดแล้วผู้เป็นแม่จะต้องรับโทษที่ตนเป็นผู้ก่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในสังคมของเรายังมีความเอื้อเฟื้อและสงสารอยู่ ทำให้เจ้าของห้างสรรพสินค้าไม่เอาเรื่องแต่ประการใดนอกจากนั้นยังมีผู้คนบริจาคช่วยเหลือแม่ลูกคู่นี้อีก ด้วยหลักของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์นี้จึงทำให้ผมเห็นด้วยกับวิธีที่หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการลงโทษที่ต้องเสียงบประมาณไปโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นกับสังคม แต่เน้นการเยี่ยวยาผู้เสียหายและเน้นการบำเพ็ญประโยชน์ของผู้กระทำผิดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเพื่อส่งการยกระดับจิตใจผู้คนในรู้จักการให้อภัยกันและส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของผู้คนในสังคม
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
จะว่าไปก็เห็นด้วยครึ่งไม่เห็นด้วยครึ่งนะ
ตอบลบคือการให้อภัยนั้น แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ดี
เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่า
"เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"
แต่ว่า การเอามาใช้ควบคุมคนแบบนี้ คือลองคิดดูว่า
ถ้าเกิด คนที่ติดยาเสพติด ที่เรามองว่าเป็นผู้ป่วย
ไฆ่ข่มขืนคนที่คุณรัก ถามว่าถ้าคุณยังไม่บรรลุในธรรมจริงๆล่ะก็
คุณจะให้อภัยได้ไหม (อันนี้ผมมองโลกในแง่ร้ายมากไปป่าวไม่รู้)
แต่ถ้าพูดถึงความยุติธรรมล่ะก็ มันคงไม่มีจริงหรอก
นอกจากกฎแห่งกรรม เราเกิดมาก็ไม่เท่าเทียมกันแล้ว
ความยุติธรรมที่อ้างขึ้นมากันนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งนั้นแหละ
ความยุติธรรมที่แท้จริงมันไม่ขึ้นว่าสมานฉันท์หรือไม่หรอกครับ
ตอบลบมันไม่จำเป็นเลย
แท้จริงขอแค่มีเหตุผลและปัญญาในการมองโลกก็พอ และมีสำนึกในฐานะมนุษย์ ไม่ขึ้นกับผลประโยชน์ สังคม การเมือง และศาสนา
เท่านี้แหละก็ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันแล้ว
บอส...
ตอบลบตั้งใจแสดงความคิดอ่านได้ดี...แต่ปวดตาหว่ะ ตัวหนังสือมันเล็กและติดกันไปหมด
บอส...ความยุติธรรม ในเชิง "การลงโทษ" กับความยุติธรรมในเชิง "การเมือง" มันเป็นแนวความคิด แนวปรัชญา ที่ดูเหมือนจะคล้ายกัน แต่มันเป็น "คนละเรื่องเดียวกัน"
เวลานี้เรากำลังสนทนากันเรื่องความยุติธรรมในเชิง "ปรัชญาการเมือง" หากเอาสองส่วนนี้มาปะปนกัน ความสับสนในเรืองความยุติธรรมคงบังเกิดเป็นแน่
ยังไงก็ตาม ชื่นชมในความตั้งใจ พยายามต่อไป
...เอาใจช่วย...อีกครา...
อาจารย์แรก
ความยุติธรรม คือ อะไรก็ได้ ที่เรา เป็นผู้กำหนดเอง ?
ตอบลบชิมิ
อ่านหลายๆคน แล้วเริ่ม งง เอง