สวัสดีครับก่อนอื่นต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ส่งมาให้ เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงในการเขียนบทความครั้งต่อๆไป อาจจะมีบางความเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับบางเรื่องหากทำให้ท่านผู้อ่านผิดใจแต่ประการใดคงต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ซึ่งบางหัวข้อในบทความเช่นในบทความนี้ เป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับการศึกษาในวิชาที่กำลังศึกษาอยู่ จึงรบกวนข้อคำติชมเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและขอขอบคุณผู้ติดตามทุกๆท่านครับ
ในเรื่องรัฐในอุดมคตินั้นเป็นเรื่องที่มีผู้ความสนใจมาทุกยุคทุกสมัย หรืออาจมีมาตั้งแต่เริ่มมีการปกครองก็เป็นได้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วมักเกิดจากความไม่พอใจกับสังคมหรือรัฐที่เป็นอยู่ ทำให้มีผู้เสนอแนวคิดต่างๆเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติอยู่หลายทัศนะ และในบทความนี้เราจะมาวิเคราะห์กับว่าสำหรับสังคมไทยแล้ว ควรที่จะมีรัฐในอุดมคติที่ออกมาในลักษณะใด แต่ก่อนอื่นจะต้องขออธิบายถึงลัทธิทางการเมืองที่มีอิทธิพลและความแตกต่างกันอย่างมาก 2 ลัทธิคือ ลัทธิสังคมนิยมและลัทธิเสรีนิยม
เริ่มจากลัทธิสังคมนิยม เป็นลัทธิทางการเมืองการปกครองที่ให้ความสำคัญต่อรัฐมากกว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ส่วนใหญ่แนวคิดนี้เกิดจากความไม่พอใจในความไม่เท่าเทียมกันของสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น และเมื่อชนชั้นที่ด้อยกว่าถูกชนชั้นปกครองหรือชนชั้นที่สูงกว่ากดขี่จนไม่สามารถทนได้ จึงเกิดการต่อต้านและเรียกร้องหาสังคมที่เท่าเทียมกัน และการที่จะทลายกำแพงทางชนชั้นทำให้เกิดวิธีทางสังคมและการเมืองเพื่อที่จะนำไปสู่รัฐในอุดมคติทางสังคมนิยม เช่นการใช้ศิลปะหรือดนตรีในการกระตุ้นในผู้คนเรียกร้องหาความยุติธรรมที่ตนสูญเสียไป จนทำให้ลัทธิสังคมนิยมส่วนใหญ่ยอมรับในการใช้กำลังอย่างรุนแรงเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมนิยมได้ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดลัทธิสังคมนิยม ได้แก่ คาร์ล มาร์กซ์ ผู้ให้กำเนิดลัทธิมาร์กซิสต์
ส่วนอีกลัทธิที่มีอิทธิพลและเป็นที่นิยมในหลายประเทศคือ ลัทธิเสรีนิยมเป็นลัทธทางการเมืองที่มีหลักการตรงกันข้ามกับลัทธิสังคมนิยมอย่างเห็นได้ชัด คือรักษาและเพิ่มพูนเสรีภาพของตัวบุคคลให้มากที่สุด โดยเสรีภาพนั้นต้องมีรัฐเป็นตัวรองรับและรัฐบาลที่ดีที่สุดของลัทธิเสรีนิยมคือรัฐบาลที่มีบทบาทในการปกครองน้อยที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าสภาพเศรษฐกิจย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ จนบางครั้งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นได้
แน่นอนว่าทั้งสองลัทธิย่อมมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน สำหรับระบอบการเมืองในสังคมไทยนั้นมีลักษณะเป็นแบบเสรีประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ได้ปรากฏต่อสังคมก็คือ เราอาจไม่ได้เป็นเสรีประชาธิปไตยอย่างที่ได้เราเชื่อกัน เพราะการที่เราจะเป็นเสรีประชาธิปไตยนั้น จำต้องมีรากฐานอยู่ที่ผู้คนในสังคมว่าเข้าใจถึงสิทธิและเสรีภาพของตนหรือไม่ เป็นต้นว่า การที่เราถูกตำรวจจราจรเรียกตรวจและถูกแจ้งข้อหาต่างๆ ผู้คนโดยส่วนมากมักจะจ่ายสินบนเพื่อให้เรื่องจบและตนจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทั้งที่ไม่เข้าใจว่าตนผิดในเรื่องใด ซึ่งนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราได้ละเลยสิทธิและเสรีภาพของตน จนในปัจจุบันปัญหานี้เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ และในหัวข้อนี้ผมเชื่อว่าทุกคนคงมีความคิดในเรื่องรัฐในอุดมคติของตนแล้ว บางท่านอาจเห็นด้วยกับแนวคิดของสังคมนิยมที่คำนึงถึงความเท่าเทียมของผู้คนในสังคม บางท่านอาจเห็นด้วยกับแนวคิดของเสรีนิยมที่คำนึงถึงเสรีภาพของผู้คนในสังคม และบางท่านอาจเห็นว่าในเมื่อทั้งสองทัศนะมีทั้งข้อดีข้อเสียที่ควรจะนำมาปรับใช้จนได้แนวคิดทางการเมืองใหม่ที่เหมาะสมกับสังคมไทย แต่ในทัศนะส่วนตัวของผมนั้นไม่เห็นว่าจะมีทัศนะใดที่สามารถสร้างรัฐในอุดมคติได้ เพราะในเมื่อมนุษย์ไม่ใช้สิ่งที่สมบูรณ์แบบสิ่งที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นคงหาความสมบูรณ์แบบได้ยาก ไม่ว่าแนวการปกครองใดนั้นย่อมไม่สามารถตอบสนองความต้องการของย่อมไม่อาจตอบสนองความต้องการของผู้คนได้ถึงที่สุด อย่างมากคงตอบสนองความต้องการของผู้คนได้เพียงกลุ่มเดียวหรือเพียงช่วงเวลาเดียวเท่านั้น เพราะความต้องการของผู้คนมีความหลากหลายและไม่สามารถหาที่สุดได้ ทำให้ผมอยากเสนอให้เราเริ่มจากการเข้าใจในหน้าที่ของตนเองก่อน ซึ่งแนวคิดนี้มีนักปรัชญาท่านหนึ่งคือ อิมมานูเอล คานท์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน เป็นผู้เสนอแนวคิดที่ว่ามนุษย์ต้องทำตามหน้าที่โดยให้คำนึงถึงเหตุผลและไม่นำอารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่ก็มองได้ว่าเป็นทัศนะที่สุดโต่งเกินไป และสิ่งที่ผมต้องการจะบอกก็คือ ความบกพร่องของสังคมเราน่าจะเกิดจากความบกพร่องในหน้าที่ของผู้คนในสังคม ในความเป็นจริงบุคคลหนึ่งไม่ได้มีเพียงหน้าที่เดียว และความบกพร่องในหน้าที่นี้ไม่ได้มีเพียงเฉพาะในระดับผู้บริหาร แต่เป็นความบกพร่องที่มีตั้งแต่สังคมที่เล็กที่สุดคือครอบครัว เช่น ชายผู้หนึ่งที่มีครอบครัวแล้ว นัยหนึ่งเขาต้องทำหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว แต่อีกนัยหนึ่งเขาคือผู้นำของครอบครัวเพราะฉะนั้นระหว่างการทำงานหาเงินและการดูและครอบครัวย่อมมีความสำคัญเท่าๆกัน นี้เป็นตัวอย่างในความบกพร่องระดับครอบครัว และยิ่งการที่เราละเลยไม่จัดการในสิ่งที่เห็นว่าผิดจนปล่อยปัญหาต่างๆพอกพูนขึ้นจนเป็นความบกพร่องทางหน้าที่ต่อสังคมแล้ว คงไม่มีความจำเป็นที่เราจะคิดถึงเรื่องรัฐในอุดมคติจนกว่าเราจะเข้าใจในหน้าที่และความรับผิดชอบของเราต่อสังคมเสียก่อน
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ประเศไทยจะถอยหลังลงคลองไปทุกวัน ๆ
ตอบลบเพราะเราขาดความรับผิดชอบนี่เอง
มาเม้นกลับด้วยนะ
http://whannawhan.blogspot.com/
ตามความคิดของผมนั้นผมก็เห็นด้วยเช่นกันครับที่ บอสได้ยกเรื่องหน้าที่ของ อิมมานูเอล คานท์ มาพูดถึง แต่ผมมองว่าตัวปรัชญาของ อิมมานูเอล คานท์ ที่พูดเรื่องหน้าที่ ผมคิดว่ามันยังมีปัญหาอยู่นะครับ แล้วใครเป็นตัวกำหนดหน้าที่ละครับ แท้จริงมันก็เป็นแค่การใส่หัวโขนเท่านั้นล่ะครับ การที่คนไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ผมไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ผิดมากจนไม่สามารถอภัยได้ หากเราอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้อื่นขับขัน เราไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้เพราะเรามีภาระหน้าที่ของท่านต้องทำอยู่แล้ว แต่ว่าสุดท้ายเราก็ต้องละทิ้งหน้าที่ครับ ละทิ้งหน้าที่ เพราะนั่นคือความเป็นมนุษย์ครับ ความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ มีความงดงามทางจิตใจ เป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นมนุษย์ แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธแนวทางของ อิมมานูเอล คานท์ นะครับแต่แค่อยากจะบอกว่ามันเป็นการมองที่ตึงเกินไปและเป็นการมองมนุษย์ที่ด้านเดียว ผมคิดว่าแท้จริงของปัญหาน่าจะมาจาก "คนไร้ธรรม" มากกว่านะครับหากคมมีธรรมเป็นที่ตั้งผมว่าปัญหาจะไม่เกิดยิ่งกว่าการที่ทุกคนปฏิบัติตามหน้าที่เสียอีก และนั่นเองคือสังคมในอุดมคติแหละครับ
ตอบลบแค่มี"ธรรม" ฟังดูง่ายจัง แต่ทำไมทำกันไม่ได้
ตอบลบบอส
ตอบลบบอสตั้งใจเขียนดีนะ แต่..การจัดรูปแบบหน้าตา มันทำให้คนแก่ "เป็นทุกข์"
เนื้อหาในเรื่องหลักการ ดูไล่เรียงมาดี
แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับ "ประเทศของเรา" บอสอาจแสดงความเห็นได้ไม่หนักแน่น ขาดการชักจูงที่แข็งแรง ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นปราชญ์
ภาพรวม มีการพัฒนาขึ้น...ชื่นชมนะ
...เป็นแรงใจ...
อาจารย์แรก
ความบกพร่องของสังคมมักเกิดจากจุดเล็กเสมอเนอะ
ตอบลบความไม่เท่าเทียมกันของสังคม การแบ่งชนชั้น
ตอบลบชนชั้นที่ด้อยกว่าถูกชนชั้นปกครองหรือชนชั้นที่สูงกว่ากดขี่
คนที่มีอำนาจก้มีชัยไปกว่าครึ่ง